“เจ๊อ้อย” ให้ปากคำกับตำรวจกองปราบฯ รอบสองนาน 11 ชั่วโมง ไม่ขอเจรจากับทนายคนดัง ไม่ยอมความดำเนินคดีถึงที่สุด ให้ศาลเป็นคนตัดสิน รู้สึกใจสลายเพราะเคยช่วยเหลือทุกอย่างดั่งคนในครอบครัว
วานนี้ (1 พ.ย.) เวลา 10.00 น.นางจตุพร อุบลเลิศ หรือ “เจ๊อ้อย” พร้อมด้วย “คุณน้อย“ เลขาของ “เจ๊อ้อย” เดินทางเข้ามาที่กองบังคับการปราบปรามอีกครั้ง หลังเมื่อวันที่ 31 ต.ค.พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำทั้งคู่ราว 11 ชั่วโมง ซึ่งวานนี้ “เจ๊อ้อย” ใส่แว่นสีดำ และใส่หมวกสีดำ เดินมาด้วยท่าทีที่สบาย ๆ
สื่อมวลชนพยายามสอบถามว่า “เข้ามาให้การเพิ่มหรือไม่” แต่ “เจ๊อ๊อย” ไม่ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนหลังจากที่ผ่านประตูกั้นด้านในตึกไปแล้ว ก็รีบเดินขึ้นลิฟท์ไปทันที เบื้องต้นคาดว่า “เจ๊อ้อย” น่าจะเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสืบสวนสอบสวน หลังจากเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา พลตำรวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ให้ข้อมูลว่าคดีนี้มีความซับซ้อนและรายละเอียดเยอะ
ขณะที่นายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความของ “เจ๊อ้อย“ เปิดเผยว่า วานนี้หลังจากที่ “เจ๊อ้อย” ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนเสร็จแล้ว จะลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยอยากให้สื่อมวลชนจัดระเบียบให้เรียบร้อย และไม่ให้เกิดการรุม พร้อมเน้นย้ำว่า “เจ๊อ้อย” พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์ แต่จะให้สัมภาษณ์ในประเด็นไหนบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับตัว “เจ๊อ้อย” เอง
ส่วนเมื่อวันที่ 31 ต.ค. “เจ๊อ้อย” ถูกสื่อมวลชนรุมล้อม จึงทำให้เกิดความมึนงง และตั้งตัวไม่ทัน ส่วนวานนี้ (1 พ.ย.) ที่เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม ก็เพื่อจะให้ปากคำกับทางตำรวจเพิ่มเติม แต่จะให้ปากคำในประเด็นไหนนั้น ไม่ทราบได้ เนื่องจากเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนกับ “เจ๊อ้อย”
ต่อมาเวลา 20.50 น. หลังให้การกับตำรวจนาน 11 ชั่วโมง เจ๊อ้อย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยขอบคุณสื่อทุกแขนงที่ให้ความสนใจกับข่าวนี้ พร้อมระบุว่ารายละเอียดต่าง ๆให้การกับตำรวจไปหมดแล้ว ตนเองไม่อยากให้สัมภาษณ์อะไรมากเพราะจะเสียรูปคดี แต่ยืนยันว่าเงิน 71 ล้านบาท ไม่ได้ให้โดยเสน่หา ทางนี้ตนเองสบายใจขึ้น รู้สึกดี ไม่มีความกังวลอะไร
อย่างไรก็ตาม ทนายคนดังไม่ได้ติดต่อมาหาและตนก็ไม่ได้ติดต่อไปหาทนายคนดังกล่าว เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนให้โอกาสเขาติดต่อมาหา แต่ก็ไม่มีการติดต่อมาแต่อย่างใด จึงต้องเดินหน้าดำเนินการด้านคดีต่อไป ซึ่งทางทนายคนดังกล่าวไม่เคยติดต่อมาหาตนเลย เกี่ยวกับเรื่องเงิน หลายเดือนมาก ก่อนจะตัดสินใจเข้าแจ้งความ ส่วนรายละเอียดทางคดีตนพูดลึกไม่ได้
ทั้งนี้ตนรู้สึกใจสลายกับทนายคนดัง เพราะเมื่อก่อนเคยช่วยเหลือทุกอย่าง ทั้งเรื่องการเดินทางไปท่องเที่ยวดั่งคนในครอบครัว เมื่อถามถึงจุดแตกหัก เจ๊อ้อย ตอบว่ารู้ระแคะระคาย ส่วนรายละเอียดตนไม่ขอพูด เพราะได้ให้การกับตำรวจไปหมดแล้ว ไม่ขอเจรจา ขอให้ศาลเป็นคนตัดสิน ส่วนที่สอบปากคำ 2 วันนั้น ก็เพราะต้องการให้รายละเอียดมากที่สุด เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เจ๊อ้อย ยืนยันทิ้งท้ายว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดไม่มียอมความ
นายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความของ “เจ๊อ้อย“ เปิดเผยว่า การให้ปากคำวานนี้เนื้อหาไม่แตกต่างจากคราวก่อน แต่มีการเพิ่มเติมลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งการให้ปากคำในตลอด 2 วันที่ผ่านมา ถือว่าคืบหน้าไปแล้ว 60% นอกจากนี้วานนี้ยังได้นำพยานหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารมาให้พนักงานสอบสวนด้วย
ส่วนปมแตกหักระหว่างเจ๊อ้อยและทนายความชื่อดังนั้น มีปัญหาบาดหมางละระหกระแหงแต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นเรื่องใด ซึ่งเจ๊อ้อยยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด นั่นหมายถึงให้ศาลฯ เป็นผู้พิพากษา ส่วนกรณีที่ทนายความชื่อดังออกมายืนยันว่าจะไม่มีทางคืนเงิน 71 ล้านบาท พร้อมต่อสู้ในชั้นศาลฯ ก็เป็นแนวทางการต่อสู้ของเขา แต่ทางเรามีพยานหลักฐานและมีแนวทางการต่อสู้คดีเหมือนกัน ไม่ใช่เสน่หาอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีรถเบนซ์สีดำ ก่อนหน้านี้เจ๊อ้อยเป็นเจ้าของรถ แต่มีการหยิบยืมไปใช้บ้างเป็นครั้งคราว ส่วนกระแสข่าวคนใช้รถตัวจริงไม่ใช่คู่กรณี แต่มีการนำไปให้ชาวต่างชาติ หรือกลุ่มจีนเทาเป็นผู้ใช้รถนั้น ยอมรับว่าตนได้ข้อมูลเหมือนกับสื่อมวลชน ซึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
กรณีที่มีคนพบว่าคู่กรณีมีการไปยื่นขอหนังสือเดินทางเพื่อไปยุโรปนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ยืนยันว่าต่อให้หลบหนีไปต่างประเทศก็ไม่ทำให้หนักใจเพราะเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ
—————————-
รอง ผบช.ก. ยืนยันหลังสอบปากคำ “เจ๊อ้อย” ยันไม่มีการออกหมายจับ “ทนายชื่อดัง” ฉ้อโกงเงิน 71 ล้านในตอนนี้ ระบุคดีนี้มีพยานหลักฐานค่อนข้างเยอะ ส่วนความผิดเรื่องอื่นขอเวลาให้ตำรวจสอบสวนก่อน
วานนี้ (1 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถาม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.ถึงความคืบหน้าในการสอบปากคำนางสาวจตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อยที่ได้เดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามวานนี้ ซึ่งสอบปากคำ นานถึง 12 ชั่วโมง
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค.นางสาวจตุพร หรือเจ๊อ้อย ให้ปากคำด้วยท่าทีผ่อนคลายไม่ได้มีความเครียด และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี และให้ข้อมูลทุกประเด็นที่ตนเองรู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนจะเรียกตัวนางสาวจตุพร มาสอบปากคำอีกหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ ว่ามีประเด็นไหนที่ขัดแย้งจากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ได้รับมาหรือไม่ ก็จะมีการเรียกตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งในการสอบปากคำเมื่อวันที่ 31 ต.ค.นางสาวจตุพร ยืนยันว่าเงิน 71 ล้านบาทไม่ได้ให้กับทางทนายชื่อดังโดยเสน่หา
เมื่อถามว่าจะมีการออกหมายจับเลยหรือไม่ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ระบุว่าในส่วนของคดียังไปไม่ถึงจุดที่จะออกหมายจับเนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อหา และพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ในทางคดีจะมุ่งเน้นไปที่คดีฉ้อโกงที่ทางนางสาวจตุพร แจ้งไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งในการสอบปากคำเพิ่มเติม หรือการรวบรวมพยานหลักฐานที่ทางเจ้าหน้าที่สืบสวนทำอยู่ตอนนี้ เพื่อเป็นการพิจารณาว่าจะเข้าข่ายความผิดอะไรบ้าง
พล.ต.ต.สุวัฒน์ ยังบอกอีกว่า ในคดีฉ้อโกงประชาชน ถ้าหากพยานหลักฐานเพียงพอว่ามีการกระทำความผิดจริง ในเบื้องต้นจะไม่มีการออกหมายจับแต่จะเป็นการออกหมายเรียกแทน ในส่วนของกรอบระยะเวลานั้นยังไม่สามารถที่จะตอบได้เนื่องจากจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อน อีกประเด็นหนึ่งคือจะเป็นความผิดในเรื่องอื่นหรือไม่ทุกอย่างจะต้องทำด้วยความรอบคอบจึงอยากจะขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานสอบสวนก่อน
เมื่อถามว่าขณะนี้รวมพยานหลักฐานได้มากหรือน้อยเท่าไหร่ที่จะแจ้งข้อหาได้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ระบุว่าในคดีนี้มีพยานหลักฐานที่ค่อนข้างเยอะก็ไม่รู้ว่าจะมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หรือพยานหลักฐานจะจบไว้ที่เพียงเท่านี้จึงอยากขอเวลาทำงาน และพนักงานสืบสวนก็ยังคงทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ กันต่อไป